Devil Smiley Devil Smiley
Web Blog การเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ประกอบการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ (สาระเพิ่ม) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ส 22102 และ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ส 23102 ครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา ในการฝึกทักษะเรียนรู้พื้นฐาน การจัดการความรู้ ทักษะภาษาดิจิตอล ทักษะการรู้คิดประดิษฐ์สร้าง ทักษะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ การสื่อสารที่มีประสิทธิผล ทักษะการสืบค้น ฯลฯ เพื่อพัฒนาไปสู่ทักษะความรู้ที่มุ่งหวังของหลักสูตร โรงเรียนมาตรฐานสากล 6 ประการ ประกอบด้วย (1) ทักษะการเรียนรู้ Learning Skills (2) ทักษะการคิด Thinking Skills (3) ทักษะการแก้ปัญหา Problerm Skills (4) ทักษะชีวิต Life Skills (5) ทักษะการใช้เทคโนโลยี Technology Skills (6) ทักษะการสื่อสาร Communication Skills ทฤษฎีระบบการเรียน KM (Knowlead Maneagement) โรงเรียนเสลภูมิพิทยาคม ประกอบการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ คุณครูชาญวิทย์ ปรีชาพาณิชพัฒนา(Word Class Standard)

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ขันธ์ 5

ขันธ์ 5

เบญจขันธ์ หรือ ขันธ์ 5

        เบญจขันธ์ หมายถึง กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมห้าหมวดที่ประชุมกันเข้าเป็นชีวิต
        ขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
        1. รูปขันธ์ กองรูป ส่วนที่เป็นรูป ร่างกาย พฤติกรรม และคุณสมบัติต่าง ๆ ของส่วนที่เป็นร่างกาย ส่วนประกอบฝ่ายรูปธรรมทั้งหมด 
        2. เวทนาขันธ์ กองเวทนา ส่วนที่เป็นการเสวยรสอารมณ์ ความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ
        เมื่อรับรู้เกิดความพอใจ มนุษย์เรียกว่า สุข เมื่อรับรู้เกิดความไม่พอใจ มนุษย์เรียกว่า ทุกข์ เมื่อรับรู้แล้วไม่ทุกข์ไม่สุข เรียกว่า อุเบกขา
        3. สัญญาขันธ์ กองสัญญา ส่วนที่เป็นความกำหนดหมายให้จำอารมณ์นั้น ๆได้ ความกำหนดได้หมายรู้ในอารมณ์ 6 เช่น เสียงดัง รูปสวย กลิ่นหอม รสหวาน ร้อน และดีใจ
        4. สังขารขันธ์ กองสังขาร ส่วนที่เป็นความปรุงแต่ง สภาพที่ปรุงแต่งจิตให้ดีหรือชั่วหรือเป็นกลาง ๆ คุณสมบัติต่าง ๆ ของจิต มีเจตนาเป็นตัวนำ ที่ปรุงแต่งคุณภาพของจิต ให้เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต
        5. วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ ส่วนที่เป็นความรู้แจ้งอารมณ์ ความรู้อารมณ์ทางอายตนะทั้ง 6 
        อายตนะแปลว่า บ่อเกิดหรือสื่อสัมพันธ์ บ่อเกิดหรือสื่อสัมพันธ์ ของอายตนะทั้งสองแล้วเกิดอารมณ์ขึ้น อายตนะมีตาเป็นต้น เมื่อสัมผัสกับรูปแล้ว ก็ติดต่อสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องถึงประสาทเข้ามาหาใจ แล้วใจก็รับเอามาเป็นอารมณ์ ถ้าดีก็ชอบใจ สนุก เพลิดเพลิน ถ้าไม่ดีก็ไม่ชอบใจ คับแค้นเป็นทุกข์โทมนัสต่อไป
อายตนะ ประกอบด้วย อายตนะภายใน 6 และอายตนะภายนอ 6
 หู ที่เสียงดังมากระทบ เรียกว่า โสตวิญญาณ
ตา ที่เห็นวัตถุรูป เรียกว่า จักษุวิญญาณ
จมูก ที่ดมกลิ่นสารพัดทั้งปวง เรียกว่า ฆานวิญญาณ
ลิ้น ที่รับรสทุก ๆ อย่างที่มาสัมผัส เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ
กาย ที่ถูกสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอันจะรู้ได้ทางกาย เรียกว่า กายวิญญาณ
ใจ  ความรู้สึกนึกคิดในอารมณ์นั้น ๆ เรียกว่า มโนวิญญาณ

       
        อายตนะทั้ง 6 นี้ย่อมรับทำหน้าที่แต่ละแผนก ๆ ไม่ปะปนกัน เช่นตารับทำหน้าที่แต่เฉพาะไว้ดูรูปเท่านั้น ให้หูดูแทนไม่ได้เด็ดขาด จึงเรียกว่าเป็นใหญ่ในหน้าที่นั้น
ฉะนั้นเมื่อพูดถึงอายตนะภายใน 6 แล้ว ขอกล่าวถึงคู่ของอายตนะภายในไปพร้อม ๆ กัน จึงจะเห็นประโยชน์ของอายตนะ 6 ที่ว่าเป็นของอยู่ในตัวของเราเรียกว่าอายตนะภายใน สิ่งที่เป็นคู่กับอายตะภายใน เช่น รูปเป็นคู่กับตา เสียงเป็นคู่กับหู เป็นต้น เรียกว่า อายตนะภายนอก
        ถ้าอายตนะภายในตัวไม่มีคู่เช่นมีแต่ตาอย่างเดียวไม่มีรูปให้เห็นก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลยหรือมีแต่รูปอย่างเดียวไม่มีตาดูก็จะมีประโยชน์เช่นกัน แต่เมื่อเห็นรูปแล้วย่อมมีทั้งคุณและโทษเหมือน ๆ กับผู้รับผิดชอบการงานในหน้าที่นั้นๆ จะต้องรับผิดชอบทั้งดีและไม่ดี อายตนะภายในกับอายตนะภายนอกกระทบกันเข้านี่แหละที่ทำให้เกิดคุณและโทษก็อยู่ที่ตรงนี้
        ฉะนั้นอารมณ์ที่เกิดจากอายตนะทั้งสองนี้จึงเป็นเหมือนกับมิตรและศัตรูไปพร้อม ๆ กัน 
        แต่มิตรไม่เป็นไรเรายอมรับทุกเมื่อ แต่ศัตรูนี้ซิ ตาเกลียดนักจึงคอยตั้งป้อมต่อสู้มัน
        อายตนะภายใน 6 อย่างนี้ เมื่อใครได้มาเป็นสมบัติของตนครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่วิกลวิกาลแล้วจึงนับ ได้ว่าเป็นลาภของผู้นั้นแล้ว เพราะมันเป็นทรัพย์ภายใน อันมีคุณค่ามหาศาล ยากที่จะหาแลกเปลี่ยนซื้อขายกันในท้องตลาดได้ ทรัพย์ภายนอกจะมีมากน้อยสักเท่าไร จะดีหรือจะมีคุณค่า จะมีประโยชน์หรือไม่ หากขาดทรัพย์ภายในแล้ว ก็ไม่สำเร็จผลอะไรเลย
        อนึ่งทรัพย์ภายใน 6 กองนี้ มีแล้วใช้ได้ไม่รู้จักหมดสิ้นจนถึงวันตาย เป็นแก้วสารพัดนึกให้สำเร็จความปรารถนาได้ทุกสิ่ง เมื่อได้มาโดยมิต้องลงทุนหรือจะลงทุนบ้างเล็กน้อย แต่ได้ผล ล้นค่า เหมือนกับได้ทิพย์สมบัติ 6 กองอย่างน่าภาคภูมิใจด้วย หากใครได้เกิดมาในโลกนี้ไม่ได้สมบัติ 6 กองนี้ หรือได้แต่ไม่ครบถ้วน ก็เท่ากับเป็นคนอาภัพในโลกนี้ แล้วสมบัติ 6 กองนี้เป็นของผู้ที่เกิดมาในกามโลก บัญญัติธรรมเรียกว่า "กามคุณ 5" เพราะผู้ที่ได้ประสบอารมณ์ 5 นี้แล้วชอบใจ ติดใจ เข้าไปฝังแน่นอยู่ในใจ เห็นเป็นคุณทั้งหมด หากจะเห็นโทษของมันอยู่บ้างบางกรณี แต่ก็ยากนักที่เอาโทษนั้นมาลบล้างคุณของมัน ฉะนั้นเหมาะสมแล้วที่เรียกว่า "กามคุณ"
        สรุปแล้วขันธ์ 5 นี้ ย่อลงมาเป็น2 คือ รูป และ นาม
        รูปขันธ์จัดเป็นรูป และ 4 นามขันธ์ จัดเป็นปรมัตถธรรม 4 = เวทนาขันธ์ 1 สัญญาขันธ์ 1 สังขารขันธ์1 และวิญญาณขันธ์ 1 จัดเป็นจิตหรือ เป็น เจตสิก ส่วนนิพพาน เป็นขันธ์วินิมุต คือ พ้นจากขันธ์ 5 สรรพสิ่งทั้งหลายในอนันตจักรวาลนั้น แยกประเภทได้เป็น 3 ส่วน ได้แก่
        1. ส่วนที่เป็นวัตถุทั้งหลาย ( รูปขันธ์ ประกอบด้วย ธาตุ 4 = ดิน น้ำ ลม ไฟ )
สสารและพลังงานทั้งหลาย แสง สีทั้งหลาย เสียง กลิ่น รส ความเย็น ความร้อน ความอ่อน ความแข็ง ความหย่อน ความตึง อาการเคลื่อนไหวของสิ่งต่าง ๆ ช่องว่างต่าง ๆ อากาศ ดิน น้ำ ไฟ ลม สภาพแห่งความเป็นหญิง เป็นชาย เนื้อสมองและระบบของเส้นประสาททั้งหลาย อันเป็นฐาน ให้จิตเกิด รวมทั้งอาการแห่งความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป ดับไปของวัตถุทั้งหลายด้วย
ซึ่งรวมเรียกว่า รูปขันธ์
        2. ส่วนที่เป็นความรู้สึกและความคิดทั้งหลาย รวมเรียกว่านามขันธ์ คือ
 ปรมัตถธรรม 4 ได้แก่
            2.1 
เวทนาขันธ์ คือ ความรู้สึกเป็นสุขทางกาย ทุกข์ทางกาย โสมนัส(สุขทางใจ) โทมนัส(ทุกข์ทางใจ) อุเบกขาหรือ อทุกขเวทนา อสุขเวทนา เป็นกลางๆ (ไม่สุขไม่ทุกข์ )
            2.2 
สัญญาขันธ์ คือ ความจำได้หมายรู้ในสิ่งต่างๆ คือส่วนที่ทำหน้าที่ในการจำนั่นเอง (ไม่ใช่เนื้อสมอง แต่เป็นส่วนของความรู้สึกนึกคิด เนื้อสมองนั้นจัดเป็นรูปขันธ์ เนื้อสมองเป็นเหมือนสำนักงาน ส่วนนามขันธ์ทั้งหลายเหมือนผู้ที่ทำงานในสำนักงานนั้น)
            2.3 
สังขารขันธ์ คือ ส่วนที่ปรุงแต่งจิต คือสภาพที่ปรากฏของจิตนั่นเอง เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทาน(สภาพของจิตที่สละสิ่งต่างๆ ออกไป) ความเมตตา กรุณา มุทิตา สมาธิ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ท้อถอย ความง่วง ความละอาย ความเกรงกลัว ความไม่ละอาย ความไม่เกรงกลัว เจตนาในการทำสิ่งต่าง ๆ ความลังเลสงสัย ความมั่นใจ ความเย่อหยิ่งถือตัว ความเพียร ความยินดี ความพอใจ ความอิจฉา ความตระหนี่ ศรัทธา สติ ปัญญา การคิด การตรึกตรอง
    2.4
 วิญญาณขันธ์ หรือ จิต คือผู้ที่รับรู้สิ่งทั้งปวง คือรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ตั้งแต่ เวทนาขัน สัญญาขันธ์ จนถึงสังขารขันธ์ และเป็นผู้รับรู้ถึงส่วนที่เป็นรูปขันธ์ทั้งหลายด้วย อันได้แก่เป็นผู้รับรู้สิ่งทั้งหลาย ที่มากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นเอง รวมถึงเป็นผู้รับรู้ในสภาวะแห่ง นิพพาน ด้วย
        3. นิพพาน คือ สภาวะที่พ้นจากรูปขันธ์และนามขันธ์ทั้งปวง
หรือสภาวะจิตที่พ้นจากความยึดมั่นผูกพันในสิ่งทั้งปวง รวมถึงไม่ยึดมั่นในนิพพานด้วย
    นิพพาน = นิ + วาน (ในภาษาบาลีนั้น ว. กับ พ. ใช้แทนกันได้ วาน จึงเท่ากับ พาน)
    นิ = พ้น
    วาน = สิ่งที่เกี่ยวโยงไว้ ได้แก่ 
ตัณหา คือ ความทะยานอยากและอุปาทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง
    นิพพาน แปลตามตัวจึงหมายถึงความพ้นจากเครื่องเกี่ยวโยง(ตัณหาและอุปาทาน) นั่นเอง
        สรุปแล้วขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
        โดยท ี่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รวมเรียกว่า
เจตสิก ซึ่งแปลว่าเป็นสิ่งที่เกิดร่วมกับจิตเสมอ จิตและเจตสิกจะเกิดและดับพร้อมกันเสมอ จะแยกกันเกิดไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนั้นนามขันธ์ตัวไหนจะแสดงตัวเด่นกว่าตัวอื่นเท่านั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น